วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Monday 1 May 2018

Record 16 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 1 May 2018

ชดเชยแทนวันที่ 23 เมษายน 2561
อาจารย์สรุปเนื้อหาการเรียนละแนะนำเกี่ยวกับการทำแฟ้มผลงาน หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยของ รศ.ดร.พัชรี ผลโยธิน และบอกแนวข้อสอบปลายภาค

Monday 30 April 2018

Record 15 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 30 April 2018
08.30 AM - 11.30 AM

วันนี้สอนเสริมประสบการณ์ ครั้งที่ 5 วันพฤหัสบดี
กลุ่มที่ 5 หน่วยอาหารดีมีประโยชน์ การถนอมอาหาร
ขั้นนำ
   1. ปริศนาคำทายเกี่ยวกับกล้วย
ขั้นสอน
    2. เด็กและครู ร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับการเก็บและการถนอมอาหารประเภทผลไม้ ดังนี้
        - ทำอย่างไร เราจึงจะเก็บผลไม้ไว้รับประทานได้นานๆ
        - การเก็บและการถนอมอาหารมีวิธีใดบ้าง
    3. ให้เด็กสังเกตรูปภาพผลไม้ที่ผ่านการถนอมอาหารมาแล้ว เช่น  กล้วยตาก เงาะกระป๋อง ผลไม้ดอง ฯลฯ         
    4. ครูเขียนลงชาร์ต วิธีถนอมอาหาร
    5. เด็กและครู ร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับผลไม้ที่ทำเองได้ที่บ้านกับผลไม้ที่ใช้เครื่องจักร ดังนี้
       - ผลไม้ที่เราทำเองได้ที่บ้านมีอะไรบ้าง
       - ผลไม้ที่ใช้เครื่องจักรทำมีอะไรบ้าง
ขั้นสรุป   
     6. เด็กและครูร่วมกันสรุปวิธีการถนอมอาหารประเภทผลไม้



กลุ่มที่ 6 หน่วยบ้าน เรื่องหน้าที่ของคนในบ้าน
ขั้นนำ
     1. ครูและเด็กร่วมกันท่องคำคล้องจอง
                       คำคล้องจอง ของใช้ประจำตัว
                          ของใช้ของหนู ต้องดูให้ดี
                          เก็บไว้เป็นที่ อย่าให้ปะปน
                          แก้วน้ำ เสื้อผ้า ขนม
                          อย่าให้สับสน เก็บไว้ให้ดี
      2. ครูสนทนาเกี่ยวกับคำคล้องจอง โดยถามคำถาม เช่น
         - ในคำคล้องจองบอกให้เด็กทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างไรบ้าง
         - นอกจากสิ่งที่มีอยู่ในคำคล้องจองเด็กๆมีหน้าที่อะไรอีก
ขั้นสอน
     3. ครูและเด็กร่วมกันสนทนา เกี่ยวกับหน้าที่ที่เด็กควรทำในบ้าน โดยครูใช้คำถาม ดังนี้
         - ในขณะที่เด็กๆอยู่ที่บ้านเด็กช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานอะไรบ้าง ?
         - ถ้าเด็กๆ วางของกระจัดกระจายเต็มบ้านจะเป็นอย่างไร ?
         - เด็กๆมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้บ้านน่าอยู่ ?
     4. ครูนำบัตรภาพเกี่ยวกับหน้าที่ต่างๆ มาให้เด็กดูพร้อมกับอธิบายรูปภาพนั้น
     5. ให้ตัวแทนเด็กออกมาติดบัตรภาพลงในตารางที่ครูเตรียมไว้
ขั้นสรุป 
      6. เด็กและครูร่วมกันสรุปกิจกรรมหน้าที่ภายในบ้าน



ทดสอบสอนแผนเสริมประสบการณ์วันศุกร์
กลุ่มที่1 หน่วยบ้าน เรื่องการปฏิบัติตนของคนในบ้าน
ขั้นนำ
     1. ครูนำภาพการปฏิบัติตนต่อคนในบ้านมาให้เด็กสังเกต ดังนี้
        - ภาพเด็กเคารพเชื่อฟังพ่อแม่
        - ภาพเด็กมีกิริยามารยาทที่สุภาพ
        - ภาพเด็กช่วยทำงานบ้าน
        - ภาพเด็กไม่เกเรหรือทำอันตรายผู้อื่น
       2. ครูและเด็กร่วมกันสนทนาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพ ดังนี้
         - เด็กๆคิดว่า เด็กในภาพนี้ทำอะไรอยู่
          - จากในภาพ เด็กๆควรปฏิบัติตามหรือไม่ เพราะอะไร
ขั้นสอน
       1. ครูเล่านิทานเรื่อง หนูออมรักสะอาด ให้เด็กฟังแล้วสนทนาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในนิทาน โดยถามคำถาม เช่น
           - หนูออมทำกิจกรรมใดในบ้านบ้าง
           - กิจกรรมใดที่แสดงให้เห็นว่าหนูออมดูแลรักษาบ้านให้น่าอยู่
            - เด็กๆ มีวิธีดูแลรักษาบ้านแบบหนูออมหรือไม่ และทำอย่างไร
       2. ครูขออาสาสมัครออกมาแสดงบทบาทสมมติในการปฏิบัติตนต่อคนในครอบครัว แล้วให้เพื่อนๆ ช่วยกันสังเกตว่า ทำกิจกรรมอะไร ควรปฏิบัติหรือไม่ควรปฏิบัติช่วยแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
       3.ครูให้เด็กช่วยกันบอกกิจกรรมที่ช่วยคุณพ่อคุณแม่เมื่ออยู่ที่บ้าน คนละ 1 กิจกรรม ครูบันทึกผลบนกระดานในรูปแบบแผนผังความคิด ชื่องานบ้านที่หนูทำได้ ให้เด็กๆ ได้สังเกตและสำรวจการทำงานบ้านของตนเองและเพื่อน
 ขั้นสรุป
        4. ครูและเด็กร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้านและให้ความรู้เพิ่มเติม โดยเน้นให้เด็กช่วยงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ตามความสามารถได้จะช่วยให้เด็กๆ เก่งขึ้น ผู้ใหญ่ในบ้านก็จะชื่นชม



กลุ่มที่ 2 หน่วยใต้ร่มเงาไม้ เรื่องข้อควรระวัง
ขั้นนำ
        1. ครูร้องเพลงสงบเด็ก (เพลงลมเพลมพัด) จากนั้นครูก็สนทนากับเด็กเรื่องต้นไม้ และนำเข้าสู่การเล่านิทาน
ขั้นสอน
        2. ครูเล่านิทาน เรื่อง ใต้ร่มเงาไม้ ให้เด็กฟัง พร้อมอธิบายให้เด็กเห็นภาพชัดเจน ตลอดเนื้อเรื่อง
(เนื้อเรื่อง หลังบ้านของชูใจ มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งเป็นต้นไม้ที่พ่อของชูใจปลูกไว้เมื่อ 30ปีทีแล้ว ชูใจชอบมานั่งเล่นใต้ต้นไม้ต้นนี้ประจำ วันหนึ่งแม่เห็นกิ่งไม้ตกใส่หัวของชูใจ แม่เลยเป็นห่วง และ บอกให้ชูใจระวังเกี่ยวกับต้นไม้ เพราะต้นไม้ต้นนี้ปลูกไว้นานแล้ว ชูใจก็ฟังแม่อย่างตั้งใจ และมีความสุขที่ได้เล่นใต้ต้นไม้ต้นนี้ )
ขั้นสรุป
         3.ครูทวนข้อควรระวังกับเด็กอีกครั้ง
         4.ครูถามเด็กว่านอกจากข้อควรระวังที่กล่าวมามีอะไรอีก และนำคำตอบของเด็กบันทึกลงในแผ่นชาร์ต



การประเมิน
          วันนี้ทุกคนมีการเตรียมพร้อมดีมาก

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

Monday 16 April 2018

Record 14 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 16 April 2018
08.30 AM - 11.30 AM

   
หยุดชดเชยวันสงกรานต์ 2018



Monday 9 April 2018

Record 13 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 9 April 2018
08.30 AM - 11.30 AM


 วันนี้สอนเสริมประสบการณ์ ครั้งที่ 4 
วันพุธ
กลุ่มที่ 6 หน่วยผลไม้
ขั้นนำ
     เล่านิทานประโยชน์ของผลไม้ พร้อมทั้งสนทนาเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
ขั้นสอน
     นำภาพมาให้เด็กดูและให้เด็กออกมาติดที่ตาราง
ขั้นสรุป
     ครูและเด็กร่วมกันทบทวนเกี่ยวกับเนื้อหา



กลุ่มที่ 1 ตัวฉัน
ขั้นนำ
   นำด้วยเพลงล้างมือ
ขั้นสอน
    สอนวิธีการล้างมืือที่ถุกสุขลักษณะ 10 ท่า
ขั้นสรุป
     ครูและเด็กร่วมกันทบทวนเนื้อเรื่องที่เรียน



วันพฤหัสบดี
กลุ่มที่ 1 หน่วยร่างกาย เรื่องอวัยวะหู
ขั้นนำ
     นำด้วยเพลงตาดูหูฟัง
ขั้นสอน
     ครูเปิดเสียงที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติและสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงให็เด็กฟังแล้วทาย
ขั้นสรุป
      ครูและเด็กร่วมกันทบทวนถึงเสียงต่างๆ



กลุ่มที่ 2 หน่วยต้นไม้ร่มเงา
ขั้นนำ
     นำด้วยภาพต่อจิ๊กซอ
ขั้นสอน
      นำภาพมาให้เด็กดูเกี่ยวกับประโยชน์ของต้นไม้ แล้วให้ตัวแทนออกมาติดรูปในตาราง
ขั้นสรุป
      ครูและเด้กร่วมกันทบทวนเกี่ยวกับประโยชน์ของต้นไม้



กลุ่มที่ 3 หน่วยร่างกาย
ขั้นนำ
     ภาพตัวต่อคนวิ่ง
ขั้นสอน
     ให้เด็กออกมาติดรุปภาพในผังการปฏิบัติตนให้มีพลามัยที่ดี
ขั้นสรุป
      ครูทบทวนเนื้อหา



กลุ่มที่ 4 หน่วยอาหารดีมีประโยชน์ การประกอบอาหารหมูโสร่ง
ขั้นนำ
      นำด้วยปริศนาคำทาย
ขั้นสอน
       ครูแนะนำอุปกรณ์และสาธิตวิธีการทำ โดดยแบ่งกลุ่มเด็กออกเป็น 4 กลุ่ม เท่าๆ กัน แล้วให้แต่ละกลุ่มวนเวียนทำจนครบทุกฐาน
ขั้นสรุป
        ครูและเด็กทบทวนเนื้อหาการเรียน




การประเมิน
     วันนี้เพื่อนมีการเตรียมพร้อมดี
   

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561

Monday 2 April 2018

Record 12 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 2 April 2018
08.30 AM - 11.30 AM

  ความรู้ที่ได้รับ
- จัดประสบการณ์เดิมให้สัมพันธ์กับสมอง
- การทำงานของสมอง ปรับเป็นความรู้ใหม่ โดยที่ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น เพื่อความอยู่รวด
- การออกแบบกิจกรรมต้องบูรณาการการสอนให้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ ใช้สื่อการสอนเด็กแทนการเล่าจากตัวครูเอง
- การสอนแบบไฮสคูป คือการสอนที่พัฒนาสมองส่วนหน้า

วันนี้สอนเสริมประสบการณ์ ครั้งที่ 3 วันพุธ
กลุ่มที่ 1 หน่วยอาหารดีมีประโยชน์
ขั้นนำ
    นำด้วยนิทาน
ขั้นสอน
    ครูนำภาพอาหารประเภทต่างๆ มาให้เด็กดูพร้อมบอกประโยชน์ของอาหาร
ขั้นสรุป
    ครูและเด็กร่วมกันทบทวนเนื้อหา




กลุ่มที่ 2 หน่วยผีเสื้อ 
ขั้นนำ
    นำด้วยเพลง
ขั้นสอน
     นำรูปภาพระยะต่างๆ ไปติดในผังวัฎจักรของผีเสื้อ
ขั้นสรุป
     สรุปวัฏจักรการเจริญเติบโตของผีเเสื้อ




กลุ่มที่ 3 หน่วยร่างกาย เรื่องลิ้น
ขั้นนำ 
    นำด้วยปริศนาคำทาย
ขั้นสอน
    ครูให้ตัวแทนออกมาชิมสิ่งที่ครูเตรียมมา เพื่อเรียนรู้เรื่องรสชาติ
ขั้นสรุป
    ครูและเด็กร่วมกันทบทวน




กลุ่มที่ 4 หน่วยบ้านแสนรัก สมาชิกในครอบครัว
ขั้นนำ
    นำด้วยเพลงพี่น้องกัน
ขั้นสอน
    ให้ตัวแทนออกมาติดรูปภาพในตารางของสัมพันธ์และครูโยงความสัมพันธ์ของสมาชิกในบ้าน
ขั้นสรุป
    ครูและเด็กร่วมกันทบทวนความสัมพันธ์



กลุ่มที่ 5 ต้นไม้ร่มเงา 
ขั้นนำ
    นำด้วยเพลง
ขั้นสอน
     ครูแนะนำอุปกรณ์และสาธิตการปลูกถั่ว โดยให้เด็กแบ่งกลุ่มและให้ตัวแทนออกมาเอาเมล็ดถั่วและอุปกรณ์
ขั้นสรุป
     ครูและเด็กร่วมกันทบทวนการขยายพันธุ์ของต้นไม้ในรูปแบบต่างๆ




การประเมิน

      วันนี้ยังทำไม่ได้ ไม่ดีนัก

Monday 26 March 2018

Record 11 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 26 March 2018
08.30 AM - 11.30 AM


    วันนี้สอบสอนแผนเสริมประสบการณ์ ครั้งที่ 2 ของวันอังคาร
    อาจารย์ทบทวน 6 กิจกรรมหลัก และหลักในการจัดการเรียนการสอน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยให้ผู้เรียนเลือกที่จะทำด้วยตนอง โดยสื่อที่นำมาใช้นั้นต้องเป็นวัสดุเหลือใช้ ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยอาจให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม จากการเป็นอาสาเข้ามาสอนเด็กๆ ทำกิจกรรมหรือจัดเตรียมของสื่ออุปกรณ์มาให้

กลุ่มที่ 4 หน่วยอาหารดีมีประโยชน์
ขั้นนำ
    นำด้วยเพลง แล้วถามในเนื้อเพลงว่ามีอะไรบ้าง จากนั้นถามประสบการณ์เดิมว่านอกจากในเลงมีอะไรอีกบ้าง
ขั้นสอน
     นำตัวอย่างอาหารมาให้เด็กดู ระหว่างอาหารสุกใหม่กับใกล้เสีย เพื่อให้เด็กแบ่งแยกลักษณะความแตกต่างของอาหารได้
ขั้นสรุป
    ครูละเด็กร่วมกันทบทวน



กลุ่มที่ 5 หน่วยผีเสื้อ
ขั้นนำ
    นำด้วยเพลง
ขั้นสอน
    นำรุปภาพผีเสื้อมาให้เด็กสังเกตดูเปรียบเทียบระหว่างลักษณะของผีเสื้อกลางวันกับผีเสื้อกลางคืน
ขั้นสรุป
    ครูและเด็กทบทวนร่วมกัน



กลุ่มที่ 5 หน่วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 จมูก
ขั้นนำ
    นำด้วยเพลง
ขั้นสอน
    นำกล่องกลิ่น 2 กล่อง มาให้เด็กทายกลิ่นเปรียบเทียบกลิ่นหอม แล้วให้เด็กออกมาติดทายกลิ่น
ขั้นสรุป
    ครูและเด็กร่วมกันทบทวน



กลุ่มที่ 6 หน่วยบ้านแสนรัก
ขั้นนำ
   นำด้วยนิทานลูกหมูสามตัว
ขั้นสอน
    นำรูปภาพลักษณะของบ้านมาให้เด็กดู แล้วบอกส่วนประกอบของบ้านในตาราง แล้วเปรียบเทียบความเหมือนความต่างโดยผังไดอะแกรม
ขั้นสรุป
    บ้านมีลักษณะต่างกัน และใช้เวลาในการสร้างไม่เท่ากัน




การประเมิน
     อาจารย์เสนอแนะและให้คำแนะนำกับทุกกลุ่มละเอียด

Monday 19 March 2018

Record 10 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 19 March 2018
08.30 AM - 11.30 AM


วันนี้สอบสอนแผนเสริมประสบการณ์ ครั้งที่1 ของวันอังคาร

กลุ่มที่1 หน่วยต้นไม้ร่มเงา

ขั้นนำ
    นำด้วยเล่นเกมต่อจิ๊กซอ
ขั้นสอน
    แผนผังตารางส่วนประกอบของต้นไม้ โดยให้เด็กเปรียบเทียบระหว่างต้นมะม่วงกับต้นเข็ม มีรูปทรง ส่วนประกอบ สี และขนาด
ขั้นสรุป
    นำแผนผังไดอะแกรมมาเปรียบเทียบความเหมือนความต่างของต้นไม้ทั้งสองชนิด
คำแนะนำ
   เวลาทำแผนผังต้องเขียนในรูปแบบเดียวกัน และการสอนคือสอนตามแบบ ไม่ต้องเพิ่มเติมสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในสิ่งที่สอนหรือที่เตรียมมา




กลุ่มที่ 2 หน่วยผลไม้
ขั้นนำ
   คำคล้องจอง
หลับตาเสีย   อ่อนเพลียทั้งวัน
                                                          หลับตาฝัน    เห็นเทวดา
                                                          มาร่ายมารำ   งามขำโสภา
                                                          พอตื่นขึ้นมา  เทวดาไม่มี

ขั้นสอน
   นำองุ่นกับส้มมาให้เด็กสังเกตของจริง แล้วสรปในตารางเปรียบเทียบส่วนประกอบของผลไม้
ขั้นสรุป
   นำแผนผังไดอะแกรมมาเปรียบเทียบความเหมือนความต่างขององุ่นกับส้ม
คำแนะนำ
    ครูต้องให้เด็กลองทีละส่วน




กลุ่มที่ 3 หน่วยร่างกาย 
ขั้นนำ
   ร้องเพลงร่างกาย แล้วสนทนาเกี่ยวกับเนื้อเพลง ทบทวนประสบการณ์เดิม
ขั้นสอน
   * ข้อเสนอแนะ* ห้ามนำเด็กออกมาหน้าชั้นเรียน ให้ใช้ภาพเปรียบเทียบแทน



การประเมิน
   วันนี้เพื่อนสอนเนื้อหาดี และละเอียด มีการเตรียมตัวดี
    

Monday 12 March 2018

Record 9 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 12 March 2018
08.30 AM - 11.30 AM


        วันนี้สอบสอนกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ โดยให้คนที่สอนวันจันทร์
ตัวอย่างแผนเสริมประสบการณ์กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
กิจกรรมพื้นฐาน
1.ให้เด็กๆเคลื่อนไหวร่างกายไปทั่วๆ บริเวณอย่างอิสระตามจังหวะสัญญาณการเคาะ ดังนี้
         เคาะ 1 ครั้ง ก้าว 1 ก้าว  
         เคาะ 2 ครั้ง ก้าว 2 ก้าว     โดยใช้ส้นเท้า หรือปลายเท้า ถ้าบอกว่าเปลี่ยน ให้เด็กเปลี่ยนการเดินไม่ซ้ำส่วนต่างๆ ของเท้า

     เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ “หยุด” เคาะ 2 ครั้ง ติดกันให้หยุดเคลื่อนไหวในท่านั้นทันที
กิจกรรมสัมพันธ์เนื้อหา
2. ให้เด็กเคลื่อนไหวร่างกายตามจินตนาการ โดยสมมุติให้ตนเองเป็นคุณย่า คุณพ่อและน้อง โดยให้เด็กเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะสัญญาณ เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณ หยุด” ให้เด็กๆ หยุดกับที่ทันที
3. ปฏิบัติตามข้อที่ 2 ซ้ำอีก โดยสลับเป็นคนอื่นที่ยังไม่ได้เป็น
กิจกรรมพักคลายกล้ามเนื้อ
4.ให้เด็กหาพื้นที่และนั่งลงช้าๆ นวดขาและนวดแขนของตัวเองเบาๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย

การประเมิน
    วันนี้อาจารย์ให้คำแนะนำ ปรับและสอนแผนกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะดีและละเอียดมาก

Monday 5 March 2018

Record 8 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 5 March 2018
08.30 AM - 11.30 AM


         วันนี้อาจารย์สอนเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมก่อนออกฝึกประสบการณ์ของนักศึกษาวิชาชีพครู โดยเรื่องที่จะนำมาสอนนั้นต้องเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ ต้องเป็นเรื่องที่เด็สนใจและต้องการอยากรู้ โดยต้องสอดคล้องกับบริบทพื้นที่นั้น คือ ต้องเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเด็กและมีผลกระทบับเด็ก เพื่อให้เด็กเรียนรู้และสามารถระวังตัวเองได้ด้วย โดยสิ่งที่นักศึกษาต้องพร้อมนั้นมีทั้งนี้
1. แผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยต้องมีการวางแผนและเตรียมพร้อมที่จะสอนไว้ล่วงหน้า
2. การจัดกิจกรรม ต้องมีความหลากหลาย แปลกใหม่ และน่าสนใจ สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้
3. ทุกอย่างที่นำมานั้น ต้องมีความปลอดภัย เข้าใจง่าย สามารถให้เด็กทำได้


มาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย
        สาระที่ 1 : จำนวนและการดำเนินการ มาตรฐาน ค.ป. 1.1 : เข้าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวน และการใช้จำนวนในชีวิตจริง
        สาระที่ 2 : การวัด มาตรฐาน ค.ป. 2.1 : เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัด ความยาว น้ำหนัก ปริมาตร เงินและเวลา      
        สาระที่ 3 : เรขาคณิต มาตรฐาน ค.ป. 3.1 : รู้จักใช้คำในการบอกตำแหน่ง ทิศทาง และระยะทาง มาตรฐาน ค.ป. 3.2 : รู้จัก จำแนกรูปเรขาคณิต และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงรูปเรขาคณิตที่เกิดจากการจัดกระทำ
    
        สาระที่ 4 : พีชคณิต มาตรฐาน ค.ป. 4.1 : เข้าใจแบบรูปและความสัมพันธ์
    
        สาระที่ 5 : การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น มาตรฐาน ค.ป. 5.1 : รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับตนเองและสิ่งแวดล้อม และนำเสนอ
    
        สาระที่ 6 : ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ครูควรคอยสอดแทรกทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ตามความเหมาะสมกับระดับอายุ




สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
         สาระที่ ๑ : สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
         สาระที่ ๒ : ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
         สาระที่ ๓ : สารและสมบัติของสาร
         สาระที่ ๔ : แรงและการเคลื่อนที่
         สาระที่ ๕ : พลังงาน
         สาระที่ ๖ : กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
         สาระที่ ๗ : ดาราศาสตร์และอวกาศ
         สาระที่ ๘ : ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สุขศึกษาและพลศึกษา เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว 
ภาษา การเล่าประสบการณ์ การอ่านนิทาน 
สังคม คุณธรรมจริยธรรม ทักษะการเข้าสังคม

กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
         1. การปฏิบัติตามคำสั่ง
         2. การปฏิบัติตามคำบรรยาย
         3. การปฏิบัติตามข้อตกลง
         4. การปฏิบัติตามจินตนาการ
         5. การปฏิบัติแบบผู้นำผู้ตาม
         6. การปฏิบัติแบบประกอบเพลง
         7. การปฏิบัติแบบความจำ
โดยมีระดับขั้นดังนี้
          ขั้นที่ 1 เคลื่อนไหวพื้นฐาน
          ขั้นที่ 2 เคลื่อนไหวสัมพันธ์เนื้อหา
          ขั้นที่ 3 ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

คำศัพท์ 

         Geometry   เรขาคณิต 
         algebra พีชคณิต
         energy พลังงาน
math คณิตศาสตร์
science วิทยาศาสตร์

การประเมิน

วันนี้ได้รับความรู้และวิธีการสอนเยอะมาก อาจารย์ให้คำแนะนำและปรับวิธีการสอนให้ถูกต้อง

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

Monday 26 February 2018

Record 7 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 26 February 2018
08.30 AM - 11.30 AM



หมายเหตุ : สอบกลางภาคเรียนที่ 2  ปีการศึกษา 2560

Monday 20 February 2018

Record 6 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 20 February 2018
08.30 AM - 11.30 AM

        วันนี้อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มทำ Mind Map ของหน่วยการเรียนที่ตนเองได้ โดยแยกตามสาระการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย

โดยสาระการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย คือ
1. ตัวฉัน
2. สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก
3. ธรรมชาติรอบตัว
4. บุคคลและสถานที่








การประเมิน
      วันนี้เป็นการเรียนที่คุ้มค่าและทำเวลาในการทำ Mind Map
  

วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Monday 12 February 2018

Record 5 Learning Experiences Management in Early childhood Education
Monday 12 February 2018
08.30 AM - 11.30 AM

        วันนี้นำเสนองาน ดังเนื้อหาต่อไปนี้
วิธีการสอนแบบสตอรี่ไลน์ (Story line method)
แนวคิดทฤษฎีที่ใช้
         การเรียนรู้แบบ
 Story line เป็นการสอนวิธีหนึ่งที่ฝึกให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตจริง ใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ไตร่ตรอง รวมทั้งกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อจะเป็นแนวทางในการตัดสินใจว่าควรทำ ไม่ควรทำ ควรเชื่อ ไม่ควรเชื่อ อันจะนำไปสู่การตัดสินใจ การแก้ปัญหา ตลอดจนการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งดีสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญด้วยการใช้หลักสูตรบูรณาการเป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง การมีส่วนร่วมของผู้เรียนเอง ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้คุณค่าและสร้างผลงานได้ผลการเรียนรู้มีความคงทน เป็นการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง วิธีดังกล่าวเป็นผลการค้นพบของสตีฟ เบลล์ และแซลลี่ ฮาร์ดเนส (Steve Bell and Sally Hardness) นักการศึกษาชาวสก็อต ซึ่งสตีฟเบลล์ เรียกว่า การจัดการเรียนรู้ที่เป็นสตอรี่ไลน์ (Story line approach) และยังเรียกว่าวิธีสตอรี่ไลน์ (Story line method)
         วิธีสอนแบบสตอรีไลน์ เป็นวิธีที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จะมีการผูกเรื่องแต่ละตอนให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเรียงลำดับเหตุการณ์ หรือที่เรียกว่า กำหนดเส้นทางเดินเรื่อง โดยใช้คำถามหลักเป็นตัวนำ สู่การให้ผู้เรียนทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพื่อสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนตามสภาพจริง ที่มีการบูรณาการระหว่างวิชา เพื่อเป้าหมายพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนทั้งตัวลักษณะเด่นของวิธีสอน
 
1.กำหนดเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และจัดเรียงเป็นตอนๆ (Episode) ด้วยการใช้คำถามหลัก (Key Questions) เป็นตัวกำหนดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้
2.เน้นการใช้กิจกรรม (Activity Based Approach) ให้สอดคล้องกับคำถามหลัก และเนื้อหาการผูกเรื่อง ซึ่งมีดังนี้
       1) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากที่สุด
       2) ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
       3) ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นกระบวนการควบคู่กับความรู้
       4) เน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3.เน้นให้ผู้เรียนสร้าง (Construct) ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ เจตคติ (Heart) และด้านทักษะปฏิบัติ (Hands) เป็นวิธีสอนที่ให้อำนาจแก่ ผู้เรียน (Learner Empowerment) คือ ให้โอกาสสร้างความรู้หรือปรับแต่งโครงสร้างความรู้ด้วย ตนเองอย่างเป็นอิสระ และแสดงถึงกระบวนการในการได้มาซึ่งความรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อ ความรู้ที่สร้างขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Long Life Learning)
4.เป็นการเรียนตามสภาพจริง (Authentic Learning) มีการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration)
5.มีเหตุการณ์ (Incidents) เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้แก้ไขปัญหาและเรียนรู้
6.แต่ละเรื่อง หรือแต่ละเหตุการณ์ที่กำหนด ต้องมีการระบุสิ่งต่อไปนี้ หรือมีองค์ประกอบต่อไปนี้
       1) กำหนดฉาก โดยระบุสถานที่และเวลาโดยเฉพาะ
       2) ตัวละคร อาจเป็นคนหรือเป็นสัตว์
       3) วิถีการดำเนินชีวิตเพื่อใช้ศึกษา
       4) ปัญหาที่รอการแก้ไข
บทบาทของครูและผู้เรียนเมื่อใช้วิธีสอนแบบสตอรีไลน์

บทบาทของครู
1.เป็นผู้เตรียมการ ในเรื่องต่างๆ ได้แก่
       1) กรอบแนวคิดของเรื่องที่จะสอนโดยเขียนเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และกำหนดเรื่องเป็นตอนๆ (Episode) โดยแต่ละหัวข้อเรื่องในแต่ละตอนได้จากการบูรณาการ
       2) เตรียมคำถามสำคัญหรือคำถามหลัก เพื่อใช้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติ
2.เป็นผู้อำนวยความสะดวกระหว่างการเรียนการสอน เช่น
       1) เป็นผู้นำเสนอ (Presenter) เช่น นำเสนอประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน
       2)  เป็นผู้สังเกต (Observer) สังเกตขณะผู้เรียนตอบคำถาม ถามคำถาม ปฏิบัติกิจกรรม รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมอื่นๆ ของผู้เรียน
       3) เป็นผู้ให้กระตุ้น (Motivator) กระตุ้นความสนใจ ผู้เรียน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเรียนอย่างแท้จริง
       4) เป็นผู้ให้การเสริมแรง (Reinforcer) เพื่อให้เพิ่มความถี่ของพฤติกรรมการเรียน
       5) เป็นผู้แนะนำ (Director)
       6) เป็นผู้จัดบรรยากาศ (Atmosphere Organizor) ให้บรรยากาศการเรียนการสอนดีทั้งด้านกายภาพและด้านจิตสังคม เพื่อให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข
       7) เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Reflector) ให้การวิพากย์วิจารณ์ข้อดี ข้อบกพร่อง เพื่อให้พฤติกรรมคงอยู่ หรือปรับปรุง แก้ไข พฤติกรรมการเรียน
       8) เป็นผู้ประเมิน (Evaluator) ควรมีการประเมินผลเป็นระยะๆ ประเมินกระบวนการ (Process) พฤติกรรมระหว่างหาความรู้ (Performance) และประเมินผลงาน (Product) ซึ่งอาจเป็นองค์ความรู้ และ/หรือ ผลงาน
3.เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการ (Process Oriented) มากกว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาสาระ (Content Oriented)
4.เน้นการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) หรือผสมผสานระหว่างวิชาในหลักสูตร (Interdisciplinary)
5.เป็นแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้แหล่งหนึ่งที่ให้ผู้เรียนซักถาม ปรึกษาเพื่อค้นคว้าหาความรู้
6.เป็นผู้ริเริ่มประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน และต้องจัดกิจกรรมเพื่อจบลงด้วยความตื่นเต้น ความพอใจ ทั้งครู ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และคนในชุมนุม เป็นต้น
บทบาทของผู้เรียน

1.เป็นผู้ศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองในทุกเรื่องตามที่ครูกำหนด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
2.ดำเนินการเรียนด้วยตนเอง เพื่อให้การเรียนสนุกสนาน ตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และท้าทายอยู่ตลอดเวลา
3.มีส่วนร่วมในการเรียนทั้งร่างกาย จิตใจและการคิด ในทุกสถานการณ์ที่ครูกำหนดขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนสถานการณ์ในชีวิตจริง
4.เรียนทั้งในห้องเรียน (Class) และในสถานการณ์จริง (Reality) เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม
5.ตอบคำถามสำคัญ หรือคำถามหลัก (Key Questions) ที่ครูกำหนดจากประสบการณ์ของตนเอง หรือประสบการณ์ในชีวิตจริง
6.มีความกระฉับกระเฉง ว่องไว ในการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เช่น สามารถจำ พิจารณา ทำตามคำแนะนำของครูได้อย่างดี
7.ทำงานด้วยความร่วมมือร่วมใจ อาจจะทำงานเดี่ยว เป็นคู่ เป็นกลุ่ม ได้ด้วยความเต็มใจและด้วยเจตคติที่ดีต่อกัน
8.มีความสามารถในการสื่อสาร เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน มีทักษะสังคม รวมทั้งมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนในกลุ่มอื่นๆ และกับครู
9.เป็นผู้มีความสามารถแก้ปัญหา คิดริเริ่มสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์
10.เป็นผู้สามารถสร้างความรู้ (Construct) ด้วยตนเอง และเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสตอรีไลน์

1.เป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนจำได้ถาวร (Retention) ซึ่งการเรียนแบบนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการทบทวนความรู้เดิม และประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
2.ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียน (Participate) ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา สังคม เป็นการพัฒนาทั้งตัว
3.ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมตามประสบการณ์ชีวิตของตน และเป็นประสบการณ์จริงในชีวิตของผู้เรียน
4.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีการเบื่อหน่าย
5.ผู้เรียนจะได้สร้างจินตนาการตามเรื่องที่กำหนด เป็นการเรียนรู้ด้านธรรมชาติ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง วิถีชีวิต ผสมผสานกันไป อันเป็นสภาพจริงของชีวิต
6.ผู้เรียนจะได้พัฒนาความคิดระดับสูง คิดไตร่ตรอง คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิด แก้ปัญหา คิดริเริ่ม คิดสร้างสรรค์
7.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ คน คน คน รวมทั้งเพื่อนทั้งห้องเรียน ขึ้นอยู่กับลักษณะกิจกรรม เป็นการพัฒนาให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์
8.ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวสู่สิ่งไกลตัว เช่น เรียนตัวของเรา บ้านของเรา ครอบครัวของเรา ชุมชนของเรา ประเทศของเรา และประเทศเพื่อนบ้าน เป็นไปตามระดับสติปัญญาของผู้เรียน
9.ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นสุข สนุกสนาน เห็นคุณค่าของงานที่ทำ และงานที่นำไปนำเสนอต่อเพื่อนต่อชุมนุม ทำให้เกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง Story Line เป็นเทคนิคการสอนอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคิดค้นและพัฒนาในสกอตแลนด์ โดย สตีพ เบล (Steve Bell) และ ซัลลี่ ฮัคเนส (Sallie Harkness)องค์ประกอบที่สำคัญของ Story Lineการสร้างเรื่องใน Story Line เป็นการดำเนินเรื่องที่ต่อเนื่อง ประดุจเส้นเชือก โดยมี คำถามหลักเป็นตัวดำเนินการ องค์ประกอบที่สำคัญในการสอนแบบ Story Line คือ
1. ตัวละคร หมายถึงบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ผูกขึ้นมา
2. ฉาก หมายถึง การระบุลักษณะของสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏ ตามหัวเรื่อง
3. การดำเนินชีวิต หมายถึงการดำเนินชีวิตของตัวละคร ว่า ใครทำอะไรบ้าง
4. เหตุการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้น หมายถุงเหตุการณ์ที่ดำเนินชีวิตของละคร เช่น
เหตุการณ์อะไรที่เป็นปกติ เหตุการณ์อะไรที่ต้องแก้ไข เหตุการณ์อะไรที่ต้องดีใจ หรือแสดงความยินดี
ขั้นตอนการสอนแบบ
 Story Line
1. วิเคราะห์หลักสูตร โดยรวมของทุกสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหัวข้อที่จะนำมาบูรณาการ
2. กำหนดเส้นทางเดินเรื่อง โดยเรียงลำดับหัวข้อแบ่งออกเป็นตอน ๆ ซึ่งต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญทั้ง 4 ประการ ได้แก่ ฉาก ตัวละคร การดำเนินชีวิต และเหตุการณ์สำคัญ ในส่วนรายละเอียดนั้นเป็นหน้าที่ของผู้เรียนในการเติมเต็มเรื่องราวต่างๆ
3. กำหนดคำถามหลักเพื่อใช้ในการเปิดประเด็นนำเข้าสู่กิจกรรม และเชื่อมโยงเรื่องราวและกิจกรรมในแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน วางรูปแบบกิจกรรมย่อยๆ โดยเน้นการจัดกิจกรรมที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมคิดปฏิบัติ เพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามหลักนั้น ๆ กิจกรรมควรมีความหลากหลายและน่าสนใจเหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน และควรเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนจะมีส่วนร่วมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
4. จัดเตรียมสื่อการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับลักษณะของกิจกรรมและลักษณะการจัดชั้นเรียน
5. กำหนดแนวทางการประเมินผล ควรเน้นการประเมินตามสภาพจริงให้มากที่สุด
ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิธี
 Story line มีดังต่อไปนี้
1. กำหนดหัวข้อเรื่องที่จะเรียน เรียกว่า เส้นทางเดินเรื่อง (Story line) ให้เหมาะสม หัวข้อเรื่องจะเป็นความคิดรวบยอดหรือหัวข้อย่อยที่ผู้เรียนจะต้องเรียน โดยผูกเป็นโครงเรื่อง ซึ่งมาจากองค์ประกอบ 4 ส่วน คือ ฉาก ตัวละคร การดำเนินชีวิตของตัวละคร และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โครงเรื่องจะเป็นโครงสร้างของเนื้อหาสาระที่จะเรียน
2. การดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้มีคำถามหลักหรือคำถามสำคัญ (Key Questions) คำถามหลักเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก จะทำหน้าที่ดำเนินเรื่องที่จะเชื่อมโยงแต่ละตอนให้ต่อเนื่องกัน คำถามหลักจะเชื่อมโยงเนื้อหาและกิจกรรมเข้าด้วยกัน
3. กิจกรรมของผู้เรียน ผู้เรียนจะทำกิจกรรมเพื่อตอบคำถาม โดยทำเป็นรายบุคคลหรือร่วมกันทำกิจกรรมอาจจับคู่กันทำกิจกรรม หรือจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-6 คน หรือร่วมกันทำทั้งห้อง โดยกำหนดสื่อหรืออุปกรณ์ที่จะใช้ในการทำกิจกรรม
4. การประเมินการเรียนรู้ จะประเมินจากคำถามหลักและกิจกรรมเป็นการประเมินในสภาพจริง (authentic assessment) ที่สะท้อนให้เห็นผลจากการเรียนรู้ว่าผู้เรียนได้ทำอะไรในด้านการใช้ภาษา ด้านการทำงานร่วมกับเพื่อน ด้านการแก้ปัญหา และด้านความรู้ เป็นการประเมินด้านคุณภาพและผลการเรียนของผู้เรียน5. กำหนดเวลาเรียนแต่ละตอน การสอน Story line ไม่จำเป็นต้องสอนโดยใช้เวลาต่อเนื่องกันเป็นเวลาทั้งวัน แต่ผู้สอนอาจแบ่งเวลาการสอนแต่ละตอนโดยกำหนดเวลาสอนแต่ละตอนตามที่กำหนดหัวข้อเรื่อง และกิจกรรมการเรียนบางตอนใช้เวลา 1 ชั่วโมง บางตอนอาจใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ต่อเนื่องกันแล้วแต่กิจกรรมการเรียน
การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผลในกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ 
Story Line  เป็นการประเมินจากการสังเกตหรือ ประเมินจากผลงาน หรือชิ้นงานของนักเรียน ผู้สอนต้องเก็บข้อมูลแล้วแปลออกมาเป็นคุณภาพ เช่นการประเมินจากการจัดนิทรรศการและผลงานที่รวบรวมในแฟ้มสะสมผลงาน อาจให้นักเรียนเลือกผลงานที่นักเรียนพอใจ พร้อมอธิบายเหตุผลที่เลือกผลงานชิ้นนั้นมาประเมิน ความก้าวหน้าของพัฒนาการเด็ก โดยมีข้อคิดในการประเมิน ดังนี้
1. ประเมินเป็นระยะ
2. ครูควรมองการประเมินผลของเด็กในเชิงบวก
3. ให้เด็กมีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชิ้นงานที่นักเรียน ชอบ ไม่ชอบ หรือชิ้นงานที่เขาภูมิใจ
4. ไม่ควรเปรียบเทียบผลงานเด็กกับเพื่อนๆ
แนวคิดหลักของการจัดการเรียนรู้แบบ
 Storyline
ทิศนา แขมมณี (
2546 : 54) ได้กล่าวไว้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบ Storyline นี้ พัฒนาโดย ดร.สตีฟ เบ็ล และแซลลี่ ฮาร์คเนส (Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์ โดยมีแนวคิดหลักของทฤษฎี ดังนี้
1.การเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะบูรณาการ หรือเป็นสหวิทยาการ คือเป็นการเรียนรู้ที่ผสมศาสตร์หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน
2.การเรียนรู้ที่ดีเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านทางประสบการณ์ตรง หรือ การกระทำ หรือ การมีส่วนร่วมของผู้เรียนเอง
3.ความคงทนของผลการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการที่ได้รับความรู้มา
4.ผู้เรียนสามารถเรียนรู้คุณค่าและสร้างผลงานที่ดีได้ หากมีโอกาสลงมือกระทำ
ดารกา วรรณวนิช (
2549 : 155) ได้กล่าวเพิ่มเติมแนวคิดของการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline หรือที่เรียกว่า “การเรียนการสอนโดยการสร้างเรื่อง” ไว้ ดังนี้
1.ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้
2.การบูรณาการหลักสูตร องค์ความรู้ ทักษะการเรียน และกระบวนการเรียนรู้ จากหลากหลายสาขาวิชา มีลักษณะเป็นการเรียนแบบบูรณาการสหวิทยาการ
3.การเรียนรู้จากการฝึกปฏิบัติจริงในสถานการณ์ต่างๆ
4.การเรียนรู้ผ่านกระบวนการกลุ่ม โดยส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Co–operative learning)
5.การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในการเรียนรู้ของตนอย่างเต็มศักยภาพ
6.การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนมุ่งพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) และทักษะการตัดสินใจ (Decision making skill) ผ่านกิจกรรมต่างๆ
7.ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง (Construct) องค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยการค้นพบ (Discover) คำตอบ จากคำถามหลักที่ครูกำหนดขึ้น
8.การเชื่อมโยงองค์ความรู้และกระบวนการเรียนรู้จากห้องเรียนออกไปสู่ชุมชนและชีวิตจริงของผู้เรียน
9.ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ สนุกสนาน มีชีวิตชีวา มีความสุข และตระหนักในคุณค่าของการจัดการเรียนรู้
กระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธี Storyline
ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ 
Storyline
1.ข้อดี
          การเรียนรู้เช่นนี้ ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเหมือนเป็นหุ้นส่วนกัน ครูวางโครงเรื่อง ผู้เรียนลงรายละเอียดที่มาจากประสบการณ์ชีวิต แล้วสร้างการเรียนรู้ใหม่ที่เชื่อมต่อจากความรู้เดิม มีการแลกเปลี่ยนความคิดและเคารพในความคิดเห็นของกันและกัน ผู้เรียนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของในผลงานที่สร้าง และกลายเป็นแรงผลักดันให้มีการแก้ปัญหา หากมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ครูยังสามารถบูรณาการทุกวิชาได้ในทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันนักเรียนก็ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริง รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เมื่อผู้เรียนมีความสุข จุดหมายของการเรียนรู้ก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว นักเรียนจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน ในระดับที่สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ
2.ข้อจำกัด
          - กิจกรรมนี้อาจเหมาะกับเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต
          - ค่อนข้างใช้เวลาในการเรียนรู้

การศึกษาแนววอลดอร์ฟ
          นวัตกรรมการศึกษาแนววอลดอร์ฟมีรากฐานมาจากมนุษยปรัชญา (Anthroposophy)โดย ดร.รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner 1861-1925) ได้นำมาจัดการศึกษาในโรงเรียนที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยการพัฒนากาย (Body) จิต (Soul) และจิตวิญญาณ (Spirit)ให้บรรลุถึง ความดี (Good) ความงาม (Beauty) ความจริง (Truth) แนวคิดของมนุษยปรัชญาที่เป็นรากฐานสำคัญในการจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ เชื่อว่า เมื่อมองดูการเกิดและเติบโตของเด็กคนหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่า กาย (Body) เป็นส่วนที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้ในโลก ส่วนจิตวิญญาณ (spirit) เป็นจิตเดิมแท้ของเด็กเองที่ มาจากโลกเบื้องบน และเชื่อมโยงกันด้วยวิญญาณ (Soul) พ่อแม่และครูมีส่วนช่วยให้การเชื่อมโยงนี้เป็นไปอย่างราบรื่นกลม กลืน ความสำคัญของครูในอนุบาลวอลดอร์ฟ จึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจ “เด็กตามธรรมชาติ” (Natural Childhood) และภาวะกึ่งฝัน (Dreamy stated) ที่มีอยู่ในวัยเด็ก การศึกษาจึงเสมือนการทำหน้าที่ปลุกให้เด็กค่อยๆตื่นขึ้นมาในโลก หาวิธีเชื่อมโยงเด็กสู่โลกที่เขาได้ลงมาเกิด ครูยังต้องใส่ใจในการเตรียมสิ่งแวดล้อม สถานที่ อาคาร ห้องเรียน บริเวณสวน ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ และของเล่นที่เด็กเล่น ให้เด็กสามารถเชื่อมโยงที่มาที่ไปในธรรมชาติได้ ตลอดจนพลังธรรมชาติของโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ครูได้นำมาประสานในกิจกรรมต่างๆในอนุบาลวอลดอร์ฟอย่างมีศิลปะ เพื่อให้เด็กได้เข้าถึงธรรมชาติอันแท้จริงของโลก และแบ่งขั้นพัฒนาการของเด็ก ดังนี้
·         (0 – 7 ปี) กาย (Body) พัฒนาผ่านพลัง เจตจำนง (Will) การมุ่งมั่นลงมือทำให้สำเร็จ
·         (7 – 14 ปี) จิต (Soul) พัฒนาผ่านความรู้สึก (Feeling) เข้าถึงความงาม และศิลปะแบบต่างๆ
·         (14 – 21 ปี) จิตวิญญาณ (Spirit) พัฒนาผ่านความคิด (Thinking) การตระหนักรู้ ในคุณธรรม ความดี
          ครูอนุบาลยังต้องให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับอายุและความสามารถตามวัยของเด็ก ให้เกิดความสม ดุลกัน เกณฑ์อายุของระดับอนุบาลวอลดอร์ฟ คือ ก่อน ขวบ หรือก่อนฟันแท้จะขึ้น มนุษยปรัชญายังได้เผยภาพลักษณ์ของมนุษย์อันประกอบไปด้วย กาย กาย ได้แก่ ร่างกาย กายพลังชีวิต กายความรู้สึก กายตัวตน ถึงแม้ว่ากายทั้ง จะมาพร้อมกันเมื่อคนเราเกิดมาในโลก แต่ก็ค่อยๆเผยออกมาทีละกายทุกๆรอบ ปี จนเด็กอายุ 21 ปี จึงมีกายทั้ง ครบสมบูรณ์ หากในระหว่างนั้น มีการสนับสนุนทางการศึกษาอย่างถูกต้องเหมาะสมแก่เด็ก จะยิ่งเป็นประ โยชน์ต่อการพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ในระดับอนุบาล เป็นขั้นตอนที่กำลังสร้างร่างกายและบ่มเพาะกายพลังชีวิต การศึกษาสำหรับเด็กอนุบาล ควรส่งเสริมพลังเจตจำนง (Will) ของเด็กและการรักษาจังหวะในชีวิตประจำวัน (Rhythm of life) ของเด็กให้มีความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ มนุษย์ยังรับรู้โลกผ่านสัมผัส ทั้ง 12 แต่ในระดับอนุบาล เด็กๆรับรู้ด้วยสัมผัส อย่างขั้นพื้นฐาน ได้แก่ 
·         สัมผัสรู้ที่ผิวกาย (Touch)
·         สัมผัสรู้พลังชีวิต (Life)
·         สัมผัสรู้การเคลื่อนไหว (Movement)
·         สัมผัสรู้ความสมดุล (Balance)
การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีลักษณะ
·         ความเข้าใจของครูผู้สอน
         การศึกษาวอลดอร์ฟมีจุดเน้นที่ “ครู” คือมีการจัดทำคอร์สฝึกหัดครูในแนวทางวอลดอร์ฟ (Waldorf Early Childhood teacher training) อยู่อย่างต่อเนื่อง ครูและผู้ปกครองที่สนใจสามารถลงคอร์สเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลเด็กทุกฝ่าย มีโอกาสพัฒนาตนให้มีความรู้ความสามารถตามแนวทางของมนุษยปรัชญา เข้าใจธรรมชาติมนุษย์และธรรมชาติวัยเด็ก 
·         ทักษะศิลปะของครูผู้สอน
          การศึกษาแนววอลดอร์ฟฝึกฝนทักษะชีวิตโดยเฉพาะด้านศิลปะ ความเข้าใจเรื่องสี ฝึกหัดการวาดภาพระบายสี งานปั้น งานหัตถกรรมเย็บปักถักทอ การจัดดอกไม้ ตลอดจนงานในชีวิตประวัน เช่น งานบ้าน งานครัว งานสวน ฯลฯ เพื่อขัดเกลายก ระดับจิตใจตนเองไปสู่ความละเอียดประณีต บรรลุสู่คุณธรรม ความดี ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อการงานและชีวิตของตนเอง ในการทำงานของครูที่เพิ่งทำงานใหม่ ยังต้องทำงานร่วมกับครูที่มีความชำนาญสักระยะ เพื่อเรียนรู้จากชีวิตการทำงานของครูรุ่นพี่ จนมีประสบการณ์เพียงพอที่จะทำงานได้อย่างมั่นใจในตัวเอง 
·         การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
หลักสูตรและกิจกรรม จัดให้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้ง มิติ คือ
o    รอบปี (ฤดู เทศกาล วัฒนธรรม)
o    รอบสัปดาห์ (วิถีชีวิตของคนในชุมชน สังคม ครอบครัว)
o    รอบวัน (จังหวะชีวิตในหนึ่งวัน)
          แนวการจัดประสบการณ์ส่งเสริมพลังเจตจำนง (Will) ของเด็ก และรักษาจังหวะในชีวิตประจำวันของเด็กให้มีความสม่ำเสมอ (Rhythm of life) เช่น การกิน นอน เล่น ขับถ่าย ให้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับจังหวะลมหายใจเข้า-ออก ที่มีการเข้าและคลายออก ด้วยความเข้าใจที่ว่า เด็กอยู่ในภาวะกึ่งฝัน และการศึกษาค่อยๆพาให้เด็กตื่นขึ้น จึงมีรูปแบบแตกต่างไปจากศึกษาแนวอื่นๆ ทั้งการจัดห้องและการจัดกิจกรรมต่างๆ จะไม่กระตุ้นเร้าให้เด็กตื่นก่อนวัย รูปแบบการจัดการศึกษา เป็นการบูรณาการทั้งทักษะและสาระการเรียนรู้ ไม่เน้นการสอนของครู ไม่มีการสอนรายวิชา หรือการเรียนเขียนอ่านแบบชั้นประถม ทัศนะคติในใจครูคือ โลกนี้มีความดีงาม (The world is good/The world is beautiful) ครูจึงมุ่งเน้นในการทำเรื่องนี้ให้ปรากฎเสียก่อน 
          การจัดห้องอนุบาล มีลักษณะเป็น “อนุบาลแบบบ้าน” โดยมีครูเสมือนแม่ การจัดสภาพแวดล้อมภายในเช่นเดียวกับบ้านหนึ่งหลังที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งห้องครัว ห้องนอน ห้องนั่งเล่น จัดให้มีความสวยงามและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิต ประจำวัน โดยครูจะนำทักษะด้านศิลปะมาจัดห้องเรียนให้อบอุ่นน่าอยู่ เช่น นำผ้าย้อมสีธรรมชาติมาตกแต่งในห้องเรียน จัดมุมฤดูกาลด้วยตุ๊กตาผ้าและวัสดุจากธรรมชาติ รวมทั้งอุปกรณ์และของเล่นเด็กก็มาจากวัสดุในธรรมชาติด้วย
·         ธรรมชาติการเรียนรู้ในวัยเด็ก
          เด็กเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ โดยมีครูทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง (Imitation) การงานในชีวิตประจำวัน ครูจะลงมือทำงานต่างๆด้วยตัวเอง ได้แก่ งานบ้าน งานครัวและงานสวน เช่น การทำความสะอาดบ้าน การปรุงอาหาร และงานฝีมือหัตถกรรม งานทั้งหมดนี้มีพื้นฐานวิชาต่างๆ ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา ฯลฯ ทั้งนี้ประสบการณ์ชีวิตที่ได้เรียนรู้ มีความเชื่อม โยงสอดคล้อง กับธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นและตัวเด็ก
·         เล่นอย่างอิสระโดยไม่แทรกแซง (Free play) เสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์(Imagination) 
          เด็กจะได้เล่นอย่างเสรี ด้วยวัตถุที่มาจากธรรมชาติ ทั้งเล่นในห้องเรียน เล่นกลางแจ้ง และกิจกรรมศิลปะรูปแบบต่างๆ วาดภาพ ระบายสีน้ำ ปั้น ร้องเพลง นิทาน ละครหุ่น บทกลอน และบทเพลงที่ครูร้องอย่างไพเราะ เสมีอนการบอกกำหนดเวลา แทนออกคำสั่ง
·         บทบาทครู ( 3 R ) ได้แก่
  • การทำซ้ำ (Repetition) เพื่อให้เกิดมั่นคง ครูควรทำกิจกรรมการเรียนการสอนและงานบ้านต่างๆอย่างสม่ำเสมอ หรือเรียกว่าการทำซ้ำ
  • จังหวะ (Rhythm) เพื่อให้สิ่งแวดล้อมมีบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของวัยเด็ก ครูควรจัดตารางประจำวัน ตารางกิจกรรมในสัปดาห์ และเทศกาลประจำปี ให้สอดคล้องกับจังหวะที่ราบรื่นแบบลมหายใจเข้าและออก ให้ตารางของช่วงนั้นๆเหมาะสมลื่นไหล ไม่อัดแน่นหรือติดขัด หรือเรียกว่า การรักษาจังหวะ หรือ ความรู้สึกแบบท่วงทำนอง
  • เคารพ (Reverence) ด้วยความตระหนักรู้ที่ว่า “มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” ทำให้เราอยู่ในโลกด้วยความรู้สึกกตัญญูและเคารพต่อธรรมชาติ ทั้งยังเคารพต่อศักยภาพของความเป็นมนุษย์


การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
          การสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach) คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน หรือเขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เช่น อ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังนิทานที่ครูหรือเพื่อนเล่า เขียนคำที่ตนสนใจจากเรื่องที่ได้อ่านหรือได้ฟัง เป็นต้น
การสอนภาษาแบบธรรมชาติมีลักษณะ
·         เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ และร่วมมือจัดการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างเด็กกับครู ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไรและใครร่วมรับผิดชอบบ้าง
·         คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสังคม เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม ห้องเรียนเป็นสังคมหนึ่ง ที่ครูสร้างความรู้สึกที่ดีให้เด็กอยู่ในกลุ่มเพื่อนอย่างมีความสุข โดยไม่มีกลุ่มเด็กเรียนเก่ง เรียนอ่อนในห้องเรียน
·         สนับสนุนให้เด็กใช้ภาษาแบบองค์รวมเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเด็กจะได้ ฟัง พูด อ่านเขียน เพื่อสื่อสารกับผู้อื่นอย่างมีจุดมุ่งหมาย มิใช่การทำแบบฝึกหัดและแยกสอนทักษะภาษา
·         เด็กเรียนรู้ภาษาจากการเลียนแบบ ดังนั้น ครู พ่อแม่ และทุกคนที่อยู่รอบตัวเด็กจึงมีความหมายต่อการเรียนรู้ภาษาของเด็ก เด็กจะเห็นผู้ใหญ่ใช้ภาษาหลายจุดมุ่งหมาย หลายวิธีการ เพราะเป็นเครื่องมือสื่อสารของคนเรา เช่น ฟังเพลงเพื่อความบันเทิง หรือฟังบรรยายเพื่อเก็บความรู้ การอ่านเพื่อเพลินเพลิด หรือการอ่านเพื่อเก็บความรู้ เป็นต้น
·         ผู้ใหญ่เป็นนักอ่านที่ดีให้เด็กเห็นเป็นแบบอย่าง และผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้เด็กฟัง ให้เด็กมีโอกาสซึมซับภาษา (immersion) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ภาษา
·         เชื่อว่าเด็กทุกคนเรียนรู้ภาษาได้ โดยครูทราบเช่นกันว่า เด็กเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติเป็นอย่างไร
·         เด็กสามารถเกิดประสบการณ์ทางภาษาได้ตลอดเวลาในวันหนึ่งๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ดังนั้น การที่เด็กมาโรงเรียน เขาได้รู้ ได้เห็นสัญลักษณ์ทางภาษารอบตัว เช่น ป้ายทะเบียนรถ ป้ายชื่อร้านค้า เครื่องหมายจราจร เป็นต้น เด็กได้ยิน ได้ฟัง ได้สนทนาโต้ตอบ เป็นการใช้ภาษา
·         เด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีภาษาหรือตัวหนังสือ ในห้องเรียนจะมีหนังสือสำหรับเด็กอย่างเพียงพอกับจำนวนเด็ก มีมุมอ่าน มุมเขียน มุมห้องสมุด มีป้ายประกาศต่างๆ ที่ทำให้เด็กคุ้นเคยกับภาษา เช่น ป้ายชื่อ ป้ายติดผลงาน ป้ายข่าวและเหตุการณ์ มีมุมหุ่น มุมนิทานให้เด็กได้ใช้ภาษาพูด เล่าเรื่องราว เป็นต้น
·         เด็กได้เรียนภาษาอย่างมีความสุข โดยครูจัดการเรียนการสอนที่น่าสนใจ มีความสนุกสนาน เนื้อหาที่เรียนมีอยู่จริงในชีวิตประจำวัน
·         เด็กได้รับการสนับสนุนจากครูและพ่อแม่ให้อ่านหนังสือ โดยโรงเรียนมีหนังสือให้เด็กยืมกลับบ้านไปอ่าน
·         ครูจัดหาหนังสือเพิ่มเติมให้เด็กเสมอ อาจจะหมุนเวียน เปลี่ยนสลับระหว่างห้องเรียน และได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองจัดหามาให้ยืม


คำศัพท์  
จังหวะ (Rhythm) 
การทำซ้ำ (Repetition)
เคารพ (Reverence) 
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach)
ซึมซับภาษา (immersion)
จิตวิญญาณ (Spirit) 

ข้อเสนอแนะ
       ต้องพยายามคิด ตอบคำถาม ทบทวนเสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมจะไปเป็นครูในอนาคต